ปุ๋ยบำรุงดินจาก 'สาหร่าย' ใช้ธรรมชาติช่วยบำบัด...ธรรมชาติ |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() เพื่อฟื้นฟูดิน แหล่งน้ำ ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ นักวิชาการศูนย์ จุลินทรีย์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จึงทำการศึกษาวิจัยโดยนำ "สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว" มาใช้ปรับสภาพดิน ดร.อาภารัตน์ บอกว่า เมื่อก่อนเกษตรกรชาวนารู้จัก "ปุ๋ยชีวภาพ" น้อยมาก ประกอบกับ "เคมี" เป็นที่นิยมนำมาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มผลผลิต ซึ่งนับวันจะต้องใช้จำนวนมากขึ้น ไม่เช่นนั้นผลิตผลที่ได้อาจ "เท่าเดิมหรือลดน้อยถอยลง" ทั้งนี้ เมื่อสำรวจแปลงนาหลายแห่งแถบภาคอีสานที่ไม่ใส่ปุ๋ยพบว่าจำนวนข้าวที่ได้ยังคงเดิม ดังนั้น ดร.พงษ์เทพ อันตะริกานนท์ เป็นคนแรกเริ่มโครงการนี้ใน วว. (23 ปีก่อน) จึงเก็บตัวอย่างดินนาทุกอำเภอของจังหวัดในประเทศไทย ศึกษาโดยเติมอาหารที่เป็นสูตรสายพันธุ์คัดเลือกเฉพาะกับสาหร่ายที่มีคุณสมบัติตรึงไนโตรเจน นำมาเพาะเลี้ยงทดสอบห้องปฏิบัติการ ศูนย์จุลินทรีย์ (ศจล.) ของสถาบันฯ พบว่า "สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว" อยู่ได้เกือบทุกสภาพแวดล้อม ปรับตัวเก่ง ทั้งยังสะสมอาหารหน้าแล้ง เมื่อมาแช่น้ำสามารถเจริญเติบโตได้ เป็นเช่นนี้เนื่องจากตัวเคลือบ (พอลิแซคคาร์ไลด์) ที่ห่อหุ้มและป้องกันรังสียูวี ทนต่อความร้อน ทำให้อยู่รอดในสิ่งแวดล้อมได้ดี จึงนำมาเข้าสู่ขบวนการเติมสารอาหารที่ดินต้องการในรูป "ปุ๋ยชีวภาพ" ซึ่งมีจุลินทรีย์มีชีวิต เสมือนใส่โรงงานผลิตปุ๋ยเล็กๆ ลงไปในดิน บางส่วนตาย ส่วนที่รอดจะปรับตัวพร้อมขยายพันธุ์ต่อไป ซึ่งวิธีนี้เป็นการใช้ธรรมชาติบำบัดธรรมชาติ เพื่อให้สะดวกต่อการใช้จึงทำออกมาแบบผง ผสมกับวัสดุรองรับ (ฟิลเลอร์) แต่เกษตรกรไม่นิยมเพราะใช้ยากจึงปั้นเป็นเม็ด จากนั้นเอาไปใช้ในแปลงนาทดสอบในพื้นที่หลายจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ ปทุมธานี สกลนคร และสุพรรณบุรี โดยทำแปลงเปรียบเทียบคือ แปลง A ใช้ปุ๋ยชีวภาพร่วมกับปุ๋ยเคมี 50 เปอร์เซ็น และ แปลง B ใช้ปุ๋ยเคมี 100 เปอร์เซ็นต์ ในหนึ่งฤดูการเพาะปลูก พบว่าแปลง A สภาพดินดีขึ้น รากต้นข้าวสามารถชอนไชหาอาหารได้ยาว ลำต้นแข็งแรง เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เฉลี่ย 75-80 ถัง/ไร่ ส่วนแปลง B ได้ผลผลิต 80 ถัง/ไร่ ต้นข้าวไม่แข็งแรง รากมีน้อย ปีที่ 2 ใช้ปุ๋ยเคมีปริมาณ 1 ใน 4 หลังเก็บเกี่ยวพบว่าปริมาณผลผลิต แปลง A เพิ่ม 10-20 เปอร์เซ็นต์ สรุปว่า ปริมาณข้าวเปลือกที่ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพดิน ระยะเวลาการใช้ แม้ฤดูแรกผลิตผลน้อยลงหรือคงที่ แต่มีการลงทุนที่น้อยลงกว่าเดิม ฉะนี้...แม้จะเห็นผลช้า แต่เกษตรกรต้องช่วยตัวเองทำทุกอย่าง ยอมที่จะได้ผลน้อยๆในช่วงแรก กระทั่งเมื่อดินมีการพักฟื้นตัว ผลผลิตจึงเพิ่มขึ้นเหมาะสมกับต้นทุนที่ใช้ไป ใครปรับตัวเปิดใจย่อมประสบผลสำเร็จไปยังจุดคุ้มทุนก่อน ชาวนาทั้งมือใหม่หัดไถ และมือ อาชีพที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2577-9000 ในวันและเวลาราชการ. เพ็ญพิชญา เตียว [16 มิ.ย. 51 - 00:18] ที่มา : http://www.thairath.co.th/news.php?section=agriculture&content=93631 ข่าวการเกษตร หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 59 ฉบับที่ 18411 วันพุธ ที่ 18 มิถุนายน 2551 |